LIFESTYLE » 10 สิ่งที่คุณไม่เคยรู้เกี่ยวกับแอป ดอลฟิน!

10 สิ่งที่คุณไม่เคยรู้เกี่ยวกับแอป ดอลฟิน!

18 มิถุนายน 2020
935   0

ทุกวันนี้ เชื่อได้เลยว่าโทรศัพท์มือถือเปรียบเสมือนอีกหนึ่งอวัยวะของพวกเราหลายๆ คนที่ขาดไม่ได้  ด้วยความสะดวกสบายที่ครบครัน ไม่ว่าจะเป็นฟังก์ชั่นการสื่อสาร หรือจะเป็นแอปพลิเคชั่นต่างๆ อีกมากมาย ที่ล้วนรังสรรค์ออกมาให้ชีวิตของเราทุกคนสะดวกสบาย และง่ายยิ่งขึ้น  เรียกได้ว่าทำทุกอย่างได้ผ่านปลายนิ้วเลยทีเดียว 

วันนี้ เราจะมาแนะนำเกี่ยวกับแอปพลิเคชั่นที่หลายๆ คนอาจจะเคยใช้ หรือได้ยินถึงมาก่อนอย่าง ดอลฟิน (Dolfin) แอปฯ น้องใหม่มาแรงภายใต้การบริหารของกลุ่มบริษัท เซ็นทรัล เจดี ฟินเทคที่ให้บริการดิจิทัลแพลตฟอร์มอัจฉริยะที่นำเสนอผลิตภัณฑ์ทางการเงินต่างๆ ตามความต้องการของลูกค้า และรวมไปถึงบริการการชำระเงินด้วยกระเป๋าเงินออนไลน์ที่มีชื่อว่า “Dolfin Wallet“ ที่อยู่ภายใต้การบริหารบริษัทในเครือ ที่เปิดตัวมาได้เกือบปี พร้อมจำนวนผู้ใช้เกินล้านราย ว่าเขามีความพิเศษ ฟีเจอร์ และเทคโนโลยีที่แตกต่างกว่า อี-วอลเล็ท (e-Wallet) อื่น ๆ ในไทยอย่างไร เราไปดูกัน

  1. กระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ดอลฟิน (Dolfin Wallet) คืออะไร?

เริ่มแรกเลย สำหรับใครที่ยังไม่รู้จักกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ดอลฟิน หรือ Dolfin Wallet นั้น เราขอให้คุณดาวน์โหลดมาทดลองใช้ฟรี ไม่ว่าจะผ่านระบบแอนดรอยด์ หรือ iOS เพราะเจ้าแอปฯ นี้คือกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์สุดฉลาดที่จะมาเปลี่ยนประสบการณ์การใช้จ่ายของคุณให้สะดวกสบาย ปลอดภัย และแน่นอนเชื่อถือได้  โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตโควิด-19 นี้ ที่คุณคงอยากลดการสัมผัสให้ได้มากที่สุด ทำให้คุณไม่ต้องพกเงินสดให้ยุ่งยากอีกต่อไป เพียงแค่มีสมาร์ทโฟนเครื่องเดียวก็เหมือนพกกระเป๋าสตางค์เพื่อซื้อของและรับประทานอาหารได้แล้ว  

2.ตัวช่วยสำหรับทุกอย่าง สะดวก จบ ในแอปฯ เดียว

ไม่ว่าจะซื้อสินค้า หรือ รับประทานอาหาร Dolfin Wallet ก็ช่วยให้ชีวิตผู้ใช้งานง่ายขึ้นไปอีกขั้น ด้วยฟังก์ชั่นในการเลือกซื้อ สั่ง จ่าย และโอน ผ่านหน้าแอปฯ แบบครบจบในที่เดียว ง่ายๆ เพียงสแกนจ่ายด้วยคิวอาร์โค้ด หรือ จะให้ทางร้านค้าสแกนบาร์โคดผ่านแอปพลิเคชั่นก็ได้ เหมาะอย่างยิ่งในช่วงสถานการณ์ยุคโควิด-19 ที่ทุกคนต้องการลดการสัมผัสจากสิ่งที่ต้องอุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวัน  นอกจากนี้ผู้ใช้ยังสามารถเข้าถึงแอปพลิเคชั่นได้ทุกที่ ทุกเวลาเพื่อชำระสินค้าที่ร้านค้าหรือชำระค่าบิลต่างๆ  โดยในอนาคต แอปดอลฟิน ยังมุ่งเน้นในการสร้าง Digi-Financial Ecosystem ร่วมกับพันธมิตรภาคธุรกิจ ธนาคาร สถาบันการเงิน และภาครัฐ เพื่อเพิ่มการเข้าถึงบริการทางการเงินดิจิทัลสำหรับคนไทยทุกระดับ พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตและไลฟ์สไตล์คนไทยสู่ชีวิตยุคดิจิทัลและสังคมไร้เงินสดเต็มรูปแบบในอนาคต

3.แพลตฟอร์มอัจฉริยะ ภายใต้การร่วมมือระหว่าง 2 ยักษ์ใหญ่
ถึงจะเป็นแอปฯ ที่น้องใหม่ในตลาดไทย แต่แอปพลิเคชั่น ดอลฟิน ก็การันตีความฟิน เพราะเป็นแพลตฟอร์มที่สร้างขึ้นภายใต้การบริหารของกลุ่มบริษัท เซ็นทรัล เจดี ฟินเทค  ซึ่งเป็นบริษัทภายใต้การร่วมทุนระหว่างกลุ่มเซ็นทรัล และ JD.com/JD Digits ผู้นำธุรกิจฟินเทคและอี-คอมเมิร์ซรายใหญ่ที่สุดของประเทศจีน  โดยการร่วมมือนี้ ได้มีการนำเทคโนโลยีทางด้านการเงิน มาพัฒนาและส่งมอบบริการด้านการเงินและฟินเทคอย่างเต็มรูปแบบและครบวงจร  ด้วยฐานผู้ใช้ที่กว้างของทั้งสองบริษัท แพลตฟอร์มอัจฉริยะ ดอลฟิน จึงเข้าใจถึงเทรนด์และพฤติกรรมของผู้บริโภคชาวไทยในปัจจุบัน และสามารถตอบโจทย์ด้านการเงินออนไลน์แก่ผู้ใช้ได้เป็นอย่างดี

4.แอปฯ ที่มาพร้อมกับความปลอดภัยสูงสุด

นอกจาก Dolfin Wallet จะการันตีเรื่องฟีเจอร์ต่างๆ ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้งานให้ได้รับทั้งความสะดวกและง่ายต่อการใช้งานแล้ว  รู้หรือไม่ว่า ในเรื่องของความปลอดภัย ดอลฟิน เองก็นับเป็นเจ้าตลาดเช่นกัน เพราะดอลฟินเป็นแอปฯ แรกในประเทศไทยที่ได้นำระบบ E-KYC (Electronic Know-Your-Customer) เข้ามาพัฒนาด้านระบบรักษาความปลอดภัยในการให้บริการ  ด้วยการนำเทคโนโลยีการจดจำใบหน้า (facial recognition) และการอ่านตัวอักษรจากภาพถ่าย (optical character recognition) ที่มีความแม่นยำสูงมาช่วยในการยืนยันตัวตนของผู้ใช้เมื่อทำการสมัครใช้บริการ  แล้วยังเสริมทัพความปลอดภัยในการชำระเงินแต่ละครั้งด้วยเทคโนโลยี Dynamic QR Code ที่ถูกสร้างขึ้นเฉพาะสำหรับแต่ละยอดการใช้จ่าย เพื่อให้ผู้ใช้งานหมดห่วงกับการโดนโจรกรรมข้อมูลต่างๆ ไปได้เลย

5.หมดห่วงเรื่องการชำระเงินข้ามแพลตฟอร์มกับระบบ “Open-loop” และช่องทางการเติมเงินที่หลากหลาย

หลายๆ คนอาจจะเบื่อกับข้อยกเว้นต่างๆ ในการใช้อี-วอลเล็ท ที่จำกัดการใช้จ่ายเฉพาะแพลตฟอร์ม  แต่หมดห่วงได้เลยเพราะ Dolfin Wallet ได้ถูกพัฒนาระบบการจ่ายเงินเป็นแบบ open-loop รายแรกของประเทศไทย  ซึ่งระบบการชำระเงินรูปแบบนี้มีความแตกต่างจากระบบของผู้ให้บริการ e-Wallet ของเจ้าอื่นๆ ที่จำกัดให้ผู้ใช้สามารถชำระสินค้าและบริการได้เพียงกับเจ้าของแพลตฟอร์ม e-Wallet นั้นๆ เท่านั้น

อธิบายง่าย ๆ คือ Dolfin Wallet สามารถรองรับการชำระเงินให้กับทุกร้านค้าที่เปิดรับชำระค่าสินค้าและบริการผ่าน QR Code ในระบบพร้อมเพย์ที่มีกว่า 4.5 ล้านจุดทั่วประเทศ และปัจจุบันมีจุดรับชำระเงินกับร้านค้าพันธมิตรอีกกว่า 6,000 จุดทั่วประเทศ อาทิเช่น Central, Robinson, Tops, Supersports, B2S, Family Mart, Major Cineplex Ootoya, Pepper Lunch, McDonalds, KFC, Black Canyon, Boots อีกทั้งยังสามารถเติมเงินได้แบบครบครันทุกช่องทาง โดยสามารถเลือกตัดจ่ายตรงด้วยการเชื่อมต่อกับบัญชีธนาคาร บัตรเดบิต และบัตรเครดิตทุกประเภท ทั้งวีซ่าและมาสเตอร์การ์ด, เติมเงินผ่านแอปฯ mobile banking  หรือเติมเงินเข้าสู่บัญชีดอลฟิน ผ่านเคาน์เตอร์เซ็นเพย์ (CenPay) กว่า 1,900 สาขาทั่วประเทศ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถใช้แอปฯ ในการซื้อสินค้าและบริการได้สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น

6.คุ้มฟินกับโปรโมชันตลอดปี พร้อมสะสมแต้ม The1 พิเศษทุกครั้งที่จ่ายผ่านแอปดอลฟิน

ไม่เพียงเท่านั้น Dolfin Wallet พร้อมมอบความคุ้มค่าแบบสุดๆ ตลอดปี ให้ลูกค้าเพลิดเพลินไปกับโปรโมชันและสิทธิพิเศษมากมายจากร้านค้าพันธมิตร ทั้งในและนอกเครือเซ็นทรัล และยังมีร้านค้าพันธมิตรใหม่ๆ ที่จะมาร่วมสร้างประสบการณ์ฟินเพิ่มเติมอีกในอนาคตอย่างแน่นอน นอกจากนี้พิเศษมากขึ้นไปอีกเพราะ Dolfin Wallet เป็นกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์เพียงรายเดียวที่ลูกค้าสามารถสะสมคะแนนพิเศษ The1 สำหรับทุกการใช้จ่าย 100 บาทที่จ่ายผ่านกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ดอลฟิน

7.จ่ายก่อนก็สบายใจ กับฟีเจอร์ “แชร์กันจ่าย”

อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่เข้ามาตอบโจทย์ ไลฟ์สไตล์การจับจ่าย กิน เที่ยว ฟิน เป็นแก็งค์ ให้หารจ่ายกันง่ายๆ โดยไม่ต้องจับเงินสดหรือตามทวงกันให้วุ่นวายเพียงใช้ฟังก์ชั่น แชร์กันจ่าย (Share bill) แค่ใส่ยอดค่าใช้จ่ายของบิลนั้นๆ และเลือกได้เลยว่าจะ หารเท่า หรือ หารจ่ายตามจริง แล้วส่ง QR code ไปให้เพื่อนได้เลย รวมถึงในอนาคตกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ดอลฟินเองยังคงพัฒนาฟีเจอร์ให้มีการแจ้งเตือนไปยังผู้ที่ยังไม่คืนเงินอีกด้วย คราวนี้ก็ไม่ต้องไปเกรงใจ ไปไล่ทวงเงินกันทีหลังให้วุ่นวาย

8.คลิกสั่งไว ไม่รอคิว

หลายๆ คนอาจจะเบื่อกับการที่จะต้องไปเดินช้อปปิ้งเลือกของและรอคิวชำระเงินที่ยาวเหยียด แถมยังเสี่ยงกับการติดเชื้อโควิด-19 อีก หมดห่วงไปได้เลยเพราะตอนนี้ แอปดอลฟิน ได้เปิดบริการใหม่อย่าง “คลิกสั่งไว ไม่รอคิว (Order & Collect)” ร่วมกับท็อปส์ เพื่อเพิ่มความสะดวก ปลอดภัยและประหยัดเวลาในการสั่งและรับสินค้า ผู้ใช้สามารถสั่งซื้อสินค้าอุปโภค-บริโภคที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน พร้อมชำระเงินอย่างปลอดภัยผ่าน ดอลฟิน วอลเล็ท แล้วไปรับสินค้าได้เลยภายใน 2 ชั่วโมง ณ จุดบริการลูกค้าของท็อปส์ 10 สาขาใกล้บ้านของคุณ[1] นอกจากนี้ ดอลฟิน ยังเปิดให้บริการการสั่งอาหารแบบ Take Away จาก 12 ร้านดังในเครือซีอาร์จี[2] โดยไม่ต้องรอคิว ช่วยประหยัดเวลาในการรอสั่งอาหารที่หน้าร้าน และการรอรับอาหาร พร้อมลดการสัมผัสในทุกขั้นตอน เพียงแค่สั่งอาหารและชำระเงินผ่าน Dolfin Wallet จากที่ใดก็ได้ แล้วเข้ามารับอาหารที่หน้าร้านได้เลยภายใน 30 นาที สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย แถมยังคิดราคาตามจริงจากเมนู ไม่มีการบวกค่าอาหารเพิ่มให้ปวดหัว

9.รับประทานชิลๆ ห่างไกลโควิด

แอปดอลฟิน เพิ่มฟีเจอร์ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุค ‘นิวนอร์มอล’ แบบสุดๆ ไปเลยกับ ‘คลิกสั่งไว ไร้สัมผัส (Zero-Touch Dine in Experience)’ ที่ได้ถูกพัฒนามาเพื่อให้ลูกค้าสามารถทั้งสั่งอาหาร นั่งทาน และจ่ายในแอปฯ เดียวผ่านคิวอาร์โค้ด โดยไม่ต้องสัมผัสเมนูหรือเงินสดให้ต้องกังวลกันอีกต่อไป ง่ายๆ เพียงแค่สแกนคิวอาร์โค้ดผ่านแอปพลิเคชั่นดอลฟินที่โต๊ะอาหารในร้านอาหารชั้นนำในเครือซีอาร์จี[3] เพื่อเลือกสั่งเมนูอาหารที่ต้องการ และยังสามารถเลือกวิธีการชำระเงินผ่านบัญชีธนาคารและบัตรเครดิตที่เชื่อมต่อกับบริการดอลฟิน วอลเล็ทได้เลย  และแน่นอนยังได้รับโปรโมชันพิเศษจากทางร้านเช่นเคย

10.   เบื้องหลังที่มาของคำว่า “ดอลฟิน” 
ท้ายสุด กับเกร็ดความรู้ที่ผู้บริหารแอบกระซิบมา รู้หรือไม่ว่า ดอลฟิน หรือที่ภาษาอังกฤษเขียนว่า “Dolfin” นั้นทุกท่านอาจจะสังเกตได้จากโลโก้ของแบรนด์ว่ามาจากศัพท์ภาษาอังกฤษ “Dolphin” ที่แปลว่าปลาโลมา ผสมคำว่า “Finance” โดย ‘Fin” นั้นสื่อได้ถึง 2 ความหมาย คือเรื่องการเงิน และความรู้สึกฟินที่ได้อะไรที่ถูกใจ ซึ่งเจ้าปลาโลมานั้นนอกจากจะฉลาดแล้วยังเป็นมิตรและจริงใจกับทุกคนอีกด้วย ซึ่งเปรียบเสมือนแบรนด์ของ ดอลฟิน ที่สามารถเข้าได้กับทุกพันธมิตรธุรกิจและพร้อมจะช่วยสนับสนุนให้พันธมิตรสามารถเติบโตไปข้างหน้าด้วยกันได้อย่างยั่งยืน  
นอกจากนี้ ชื่อดอลฟินนี้ยังได้ถูกคิดให้ตรงกับวิสัยทัศน์ของบริษัทในการสร้างแพลตฟอร์มที่จะเข้ามาตอบโจทย์การใช้งานในทุกมิติของผู้บริโภค ช่วยคิดวางแผนเรื่องการเงินอย่างชาญฉลาด และสร้างประสบการณ์การใช้ชีวิตและชำระเงินรูปแบบใหม่ที่เปลี่ยนทุกการใช้จ่ายให้เป็นเรื่องง่าย ปลอดภัยและฟินกว่าเดิมภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘คิดให้ ใช้ฟิน’  
พอจะรู้จักกับเจ้ากระเป๋าเงินออนไลน์อัจฉริยะนี้แล้ว ก็อย่าพลาด ที่จะสัมผัสประสบการณ์ชำระเงินรูปแบบใหม่ที่เปลี่ยนทุกการใช้จ่ายให้เป็นเรื่องสนุกและฟินกว่าเดิม ดาวน์โหลดเลย!